Seed Love รักสุดซี๊ด จี๊ดโดนใจ - Seed Love รักสุดซี๊ด จี๊ดโดนใจ นิยาย Seed Love รักสุดซี๊ด จี๊ดโดนใจ : Dek-D.com - Writer

    Seed Love รักสุดซี๊ด จี๊ดโดนใจ

    จะให้ฉันตามจีบผู้ชายที่เคยหักอกอย่างนายอะตอมเนี่ยนะ ไม่มีทางหรอกย่ะพวกเพื่อนบ้า ก็แค่หล่อ เท่ เรียนดี กีฬาเด่น เป็นดนตรี สาวกรี๊ดเยอะแยะ ไม่เห็นจะมีข้อดีตรงไหนเลย ฉันไม่เอาด้วยหรอกแน๊(แฟนต้า)

    ผู้เข้าชมรวม

    361

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    361

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ส.ค. 55 / 20:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    แฟนต้า   : สวย เริด เชิด นั่นแหล่ะนิยามของลูกสาวเศรษฐีอย่างฉัน แต่นายอะตอม ผู้ชายที่หักอกฉันกลับมาทำให้ฉันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ตกหลุมรักขึ้นไม่ไหวเธอใช่ไหมที่คอยผลักฉัน เหอะ ใครจะไปชอบผู้ชายที่เคยหักอกฉันลง แถมยังชอบเวิ้นเว้อเรื่องแฟนสาวของตัวเองจนน่าหมั่นไส้ แต่อะไรนะ พวกเพื่อนบ้ายุให้ฉันคว้าอีตาอะตอมทำแฟนงั้นเหรอ โอ้ย ไม่เอาด้วยหรอกค๊า

     

    อะตอม   : ผมเปลี่ยนตัวเองมากมายเพื่อผู้หญิงที่แอบชอบคนหนึ่ง ซึ่งเธอเคยตราหน้าว่าผมมันเฉิ่มแสนเชย  ซึ่งเธอไม่มีทางมาชอบได้ เหตุนี้แค้นฝังหุ่นจึงทำให้ลงมือวางแผนทำทุกอย่างให้เธอเจ็บใจ แต่ที่ไหนได้ ผมเจ็บกว่ายัยนั่นหลายเท่าเลย

     

    ลูกหมี/ซูชิ : เพื่อนสาวประเภทสองนิสัยน่ารักเยี่ยงกระเทยไทยทั่วไป ซึ่งเรียกเสียงฮาในเรื่องได้เป็นอย่างดี

    ก็แค่ไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์คุมน้องๆที่เข้าค่ายจริยธรรมสามวันสองคืน ยังไงก็ไม่ทำให้ฉันชอบขี้หน้านายขึ้นมาได้หรอกนะนายอะตอม โอ้ยแต่ทำไมเรื่องของนายถึงเต็มหัวฉันไปหมด แล้วอะไรนะ ยัยน้องมิ้นหน้าตาบ๊องแบ๊วมาชายตามองนายอะตอมงั้นเหรอ อย่าหวังเลยว่าจะผ่านด่านฉันไปได้ อ๊ะ ปล่าวนะ เปล่าหึง ก็แค่หมั่นไส้ที่นายอะตอมจะมีแฟนต่างหากล่ะ ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยจริงจริ๊ง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Seed Love

      รักสุดซี๊ด..จี๊ดโดนใจ

       

                      “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูมี ทูมี๊” เฮ๊อะ ช่างน่าเศร้าสิ้นดีที่ปีนี้ก็ปาไป 17 ปีแล้วยังหาแฟนไม่ได้ ยัยแฟนต้าเอ้ย หุ่นก็ดี หน้าตาก็ดี ฐานะทางบ้านก็ดี ทำไมไม่มีชายใดมาเหลียวแล ผู้ชายโรงเรียนนี้มันตาบอดกันหมดรึไงฟะ

                      “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นแฟนต้า วันเกิดทั้งทียิ้มหน่อยเด้” ซูชิเพื่อนเทยของฉันปัดมือที่เท้าคางไว้ของฉันออก หน้าเกือบคะมำไปจูบโต๊ะแลคเชอร์

                      “โอ้ย จะไม่ให้มันเซ็งเซโลงังได้ไงล่ะแก๊ ก็ป่านนี้ไอ้ต้ามันยังหาแฟนไม่ได้เลย ใช่มะ ใช่มะพวกเรา” แกเป็นเพื่อนฉันจริงรึเปล่าวะเนี่ย ว่าฉันแล้วก็หันไปพาสมัครพรรคพวกในห้องหัวเราะเยาะเพื่อนสาวอีก ฮากันเข้าไป จะขำให้ได้โล่เกียรติยศกันไปเลยรึไงจ๊ะ

                      “มันก็เรื่องของฉัน ทำไม จะโสดบ้างไรบ้างหนักส่วนไหนของพวกแกมิทราบ ฉันไปโสดเกาะหลังพวกแกรึไง”

                      “แรงได้อีกไอ้ต้า คนนะไม่ใช่ควายจะได้ให้แกมาเกาะหลังน่ะ”

                      “ฉันก็ไม่ใช่นกเอี้ยงเหมือนกันแหล่ะน่า” ฉันแหวกลับแล้วเอามือกลับมาเท้าคาง ทำไมยัยเพื่อนกะเทยทั้งตัว เอ้ย ทั้งคนอย่างลูกหมีเทยฟายยังมีแฟนเป็นนักมวยค่าย ส.ศิษย์ตุ๊กแกเผือก

      ส่วนเพื่อนเทยซูชิ เอิ่ม ชื่อแกจะน่ากินไปมั้ยเพื่อน ยัยซูชิก็ยังมีแฟนเป็นนักบาสมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง สงสัยผู้ชายจะกลายพันธุ์กันหมด ชิ ไม่อยากจะอิจฉาหร๊อก แต่มันอดไม่ได้ คนสวยอย่างฉันไม่มีใครกล้าจีบเพราะฉันดีเกินไป สรรพคุณฉันมากเกินไป แต่ฉันไม่ได้ต้องการผู้ชายเพอร์เฟคมาเป็นแฟนเลยนะ ขอแค่ผู้ชายธรรมด๊าธรรมดาก็พอ แต่ทุกคนมักคิดว่ามาตรฐานฉันต้องสูงส่งเลิศเลอจนไม่มีใครมาจีบนั่นแหล่ะ เซ็งค่ะ

                      “ฉันว่าแกต้องเป็นฝ่ายไปจีบผู้ชายก่อนแล้วแหล่ะ ไม่งั้นมีหวังแกขึ้นคานแน่” ขอบใจซูชิ สวยขนาดฉันต้องจีบผู้ชายด้วย

                      “สมัยนี้ด้านได้อายอดแล้วนะแก พวกหน้าปลวกก็มีฟงมีแฟนได้เพราะนางกล้าเข้าหาผู้ชายก่อน แกต้องเลือกแล้วว่าจะอยู่คนเดียวแบบมีศักดิ์ศรี หรือยอมหน้าด้านแต่มีผู้ชายมาทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ” ยัยซูชิและยัยลูกหมีพยักหน้ารับกันทำให้ฉันคิดหนัก

                      “เอาจริงเหรอแก” ขอความคิดเห็นเพื่อนทั้งสอง

                      “จริง” พร้อมเพรียงกันดีมาก

                      “เอางี้ต้า แกยังไม่เคยจีบผู้ชาย ไอ้ครั้นจะให้ไปตบตีรบราฆ่าฟันกับพวกชะนีคนมีเจ้าของแล้วเห็นทีจะลำบาก แกต้องเลือกหนุ่มโสด” คำแนะนำของซูชิ

                      “ด้วยสายตาแสกนผู้ชายแบบสามร้อยหกสิบองศาของฉันนะ อะตอมเหมาะสมกับแกที่ส๊วดดดด” ยัยลูกหมีทำเสียงเหมือนแอนนาเจ้าของมุขฮิตถั่วต้ม(ถูกต้อง)

                      “นายอะตอมเนี่ยนะ” นายอะตอมห้องเดียวกับเรา อีตานั่นมีแฟนแล้วนี่ และก็รักแฟนเวอร์ขี้เห่อเอาอกเอาใจกันออกนอกหน้านอกตาจนฉันหมั่นไส้ ยิ่งยัยน้องการ์ตูนเด็กม.ต้นหน้าตาแอ๊บแบ๊วคนนั้นอีก

      ฉันแช่งให้เลิกกันทุกวันเลยเพราะฉันจะได้เสียบ เอ้ยไม่ใช่ เพราะจะได้เลิกฟังอีตาอะตอมมาเวิ้นเว้อเรื่องแฟนคนสวยให้ฟัง ถึงจะไม่ได้เล่าให้ฉันฟังแต่ไอ้เราโต๊ะติดกันมันจะไม่ได้ยินก็เป็นไปมิได้ดอก ดูสิ ใจคอพวกแกจะให้ฉันแย่งแฟนชาวบ้านรึไงเนี่ย ไหนว่าฉันตบตีกับพวกชะนีไม่ไหวไง

                      “นายนั่นมีแฟนแล้วนะ”ฉันรีบแย้ง

                      “โอ้ย ยัยชะนีนี่ตกข่าวนะซูชิ รีบชี้แจงแถลงไขด่วนจ๊ะ” ดูคุณเพื่อนที่มีแฟนเป็นนักมวยมันว่าฉันสิ

                      “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เค้าว่ากันว่า อะตอม เลิกกับน้องการ์ตูนแล้ว เพราะชี ได้รับคัดเลือกเป็นมิสคานาเป้ จากการประกวดทำอาหารระดับประเทศ เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วก็มีงานเข้า เพราะชีดั๊นไปติดใจนายแบบจนบอกเลิกกับอะตอมคนหล่อเลยต้องอกหักรักคุดตุ๊ดอย่างพวกฉันสองคนก็ยังเมิน ขีดเส้นใต้ เพราะว่ามีแฟนแล้ว” ซูชิร่ายยาวยังกับสายรายงานข่าวบันเทิง

                      “นี่เป็นนิมิตรหมายอันดีที่เพื่อนแฟนต้าของเรา จะได้รับเกียรติให้เยียวยารักษาใจผู้ชายที่หล่อที่สุด เรียนเก่งที่สุดในชั้นม.5 เห็นด้วยมั้ยจ๊ะ เห็นด้วยมั้ยจ๊ะทุกคน” ลูกหมีมั้ยจ๊ะแรกให้ฉัน แล้วก็มั้ยจ๊ะต่อไปให้เพื่อนในห้อง โห หาพวกให้ฉันด้วย แถมพวกนั้นก็ซุบซิบเห็นด้วยกันใหญ่

                      “พวกแกอ่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ ถ้ามีแฟนอย่างนายอะตอมให้ฉันเป็นโสดตลอดชีวิตดีกว่า” เฮอะ ฉันน่ะนะ มีคดีกับอีตานี่อยู่ ไม่มีใครรู้หร๊อก ว่าฉันเคยตามจีบอีตานี่สมัยอยู่ม.ต้น แต่โดนหักอกอย่างจัง แถมอีตาอะตอมยังประกาศโต้งๆ ว่าคบอยู่กับยัยน้องการ์ตูน ดูสิ ให้ฉันตามจีบ มันจะดีนะ เอ้ย ไม่ใช่ๆ มันไม่มีทางอยู่แล้ว

                      “ฉันก็ไม่คิดจะคบกับผู้หญิงอย่างเธอเหมือนกัน” นะ นายอะตอม เข้ามาพอดีเลย ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้เนี่ย บังเอิญไปป่าวฟะ

                      “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะคบกับนายเหมือนกัน” ใครจะให้อีตานั่นว่าฉันฝ่ายเดียวล่ะ

                      “ก็ดี งั้นเราก็เข้าใจตรงกัน เธอก็อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะ” น่านไง ประกาศชัดเจนให้เพื่อนร่วมห้องรู้เห็นเป็นพยาน ดีมาก

                      “เฮอะ หลงตัวเอง ใครเค้าจะชอบนาย ขนาดแฟนที่รักกันปานจะกลืนกินยังบอกเลิกเล้ย” ฉันโมโหเลยต่อว่าไป

                      “แล้วเธอล่ะดีนักเหรอ ถึงได้ไม่มีใครเอาน่ะ คำว่าแฟนสงสัยจะสะกดไม่เป็นล่ะสิท่า สมแล้วที่ได้รับรางวัลคานทองคำน่ะ” จี๊ดมากค่ะ จี๊ดลงไปตรงกลางใจ ฉายาที่อีตาอะตอมแอ่นเดอะแก๊งล้อฉันประจำประจำ แฟนต้าเจ้าของคานทองคำ กรี๊ด ฉันจะตบมัน

                      “อีตาบ้า ฉันเกลียดนาย แล้วก็อย่าเผลอมาหลงรักฉันเหมือนกัน เพราะฉันไม่อยากมีแฟนเป็นคนเหลือเดนใคร” ฉันเลือดขึ้นหน้าลุกขึ้นยืนชี้หน้าอีตาอะตอม

                      “ใจเย็นๆ นะทั้งคู่ นั่งที่ก่อนอาจารย์มาเหอะ” ลูกหมีรีบมาลากฉันกลับไปนั่งที่โต๊ะ แล้วนายวิทย์เพื่อนสนิทอีตาอะตอมก็มาลากอีตานั่นกลับที่ก่อนที่เราสองคนจะลงมือลงไม้กัน

                      “เห็นรึยัง ปากยังกับกระโถนแบบนั้นพวกแกยังจะให้ฉันเอามาทำสามีอีกเหรอ”

                      “แฟนจ๊ะคุณเพื่อน แค่หนับหนุนให้เป็นแฟนกัน” ซูชิพูดจ๋อยๆ

      “เฮอะ จะให้มีแฟนนิสัยแย่อย่างนี้เนี่ยนะ พวกแกจะผลักเพื่อนตกเหวตกนรกรึไงกันยะ” ฉันยังโวยไม่เลิก ลูกหมีเห็นท่าไม่ดีเพราะอาจารย์มาแล้วเลยรีบพูด

                      “ไม่เป็นไรไอ้ต้า เรามีตัวเลือกให้แกอีกเยอะแยะ ไม่ต้องเป็นอะตอมก็ได้ จบป่ะ แต่แกเงียบก่อนนะเดี๋ยวอาจารย์ดุเอา” สิ้นเสียงลูกหมีอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้อง พวกเราทำความเคารพอาจารย์ สายตาฉันเหลือบมองไปทางอีตาอะตอม ซึ่งอีตานั่นก็กำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน ฉันทำปากจู๋ยื่นไปพร้อมกับพูดในคำคอว่า “ทุเรศ” ส่วนอีตานั่นเอามือปาดคอสื่อความหมายว่าถ้าเธอมายุ่งกับฉันเธอตายแน่ ใครจะอยากไปยุ่งด้วยมิทราบ

                      “เอาล่ะครับนักเรียนทุกคน อาทิตย์หน้าจะมีการอบรมจริยธรรมให้กับน้องใหม่ที่พึ่งเข้ามาเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายปีหนึ่ง (ม.1,ม.4 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะเรียกให้เข้าใจยากทำไมนิ) ครูอยากจะขออาสาสมัครให้ไปช่วยการอบรมครั้งนี้สามวันสองคืนขอตัวแทนห้องสองคนนะครับ”สิ้นเสียงอาจารย์ก็มีเสียงฮือฮาในห้องแย่งกันใหญ่ ไม่ใช่แย่งกันไปช่วยงานนะ แย่งกันที่จะไม่ไปต่างหาก ช่างเป็นคนดี

                      “อาจารย์ครับ รัศมีกับสิทธิชัยอยากไปช่วยงานอาจารย์ครับ” เฮ้ย ลูกหมีโยนจี้ให้ฉันแล้วมั้ยล่ะ แล้วทำไมฉันต้องไปกับนายอะตอมด้วย ไม่เอาแน๊

                      “เมื่อกี้ผมก็ได้ยินครับอาจารย์” ยัยซูชิดัดเสียงแมนเวอร์พูดเสียงดังฟังชัดให้อาจารย์ได้ยิน และอาจารย์ก็บ้าจี้จดรายชื่อเราสองคนลงในสมุดบันทึกเรียบร้อย

                      “อาจารย์คะแต่หนู..” ฉันกำลังจะคัดค้านแต่นายอะตอมหันมาพูดให้ได้ยินกันสองคน

                      “ทำไมเหรอ กลัวอยู่กับฉันแล้วนะหลงรักฉันสินะ” หนอย ดูถูกความรู้สึกฉันมากไปแล้วย่ะ ถึงฉันจะเคยชอบนาย แต่นั่นมันอดีต ตอนนี้ฉันเกลียดนายที่สุดในโลก

                      “ว่าไงรัศมี มีอะไรเหรอ” อาจารย์เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วถามขึ้น

                      “หนูเต็มใจม๊ากมากที่ได้ไปช่วยงานอาจารย์พร้อมกับสิทธิชัยค่ะ” ตอแหลได้โล่ ดีใจกะผีน่ะสิ แต่ถ้าไม่ไปอีตาอะตอมก็หาว่าฉันกลัว ชิ ไม่มีทางซะหรอกที่จะกลัวอีตานั่นน่ะ

                      “ฮึ” ฉันหันไปทำหน้าย่นใส่อีตาอะตอม

                      “แบร่” อีตานั่นทำหน้าลิงใส่ฉันแล้วแลบลิ้นด้วย ยี้ อีตาบ้าหน้าลิง ไม่อยากเห็นหน้า รีบตั้งใจเรียนดีกว่า ถึงไหนแล้วเนี่ยวิขาพุทธศาสนาจ๋า ไปถึงวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานแล้วเหรอ วันอะไรอ่ะ วันลอยกระทงรึเปล่าหว่า โอ้ย ในหัวมีแต่เรื่องอีตาอะตอมจนไม่มีสมาธิไปหมดแล้วเนี่ย อยากจะฆ่ามัน

       

                      “ไหนว่าจะไม่ผลักใสฉันให้อีตานั่นแล้วไง” ฉันกอดอกยืนขวางทางออกของซูชิและลูกหมีหลังเลิกเรียน

                      “แหม คุณเพื่อน ทำโมโหไปได้ ไม่ได้ผลักใส แต่ว่าให้แกได้ทำความรู้จักกับอะตอมมากขึ้นไง เผื่อมีอะไรดีๆ”

                      “จริงจ๊ะ แบบว่าแกจะได้มีอะไรทำในสุดสัปดาห์นี้ ไม่ต้องเหงาอีกสองวัน ไม่ต้องโทรตามให้ฉันไปชอปเป็นเพื่อน แล้วก็ไม่ต้องมาเดินตามฉันเวลาฉันไปเที่ยวกับหวานใจด้วยไง” ยัยซูชิอธิบาย

                      “อ๋อ นี่พวกแกรำคาญที่ฉันไปเป็นก้างขวางคอใช่ป่ะ หรือว่าฉันใช้เวลากับพวกแกมากไปจนทำให้ไม่มีเวลาให้แฟนกันใช่มะ ได้เลย งั้นต่อไปนี้เราไม่ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันแล้ว” ฉันสะบัดหน้าใส่สองเพื่อนอย่างงอนๆ แล้วก็เดินหนี

                      “ไปง้อมันหน่อยดีป่ะ” เสียงลูกหมี

                      “ปล่อยมันไปเหอะ เดี๋ยวคิดได้ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแหล่ะ” ขอบใจมากซูชิ แทนที่จะมาง้อกันเฮอะ

                      “ช่างฉันเลยพวกเพื่อนบ้า ไม่มีก็ได้ฟะ” ฉันเตะกระป๋องน้ำอัดลมซึ่งตกอยู่บนพื้นลอยละลิ่วไปในอากาศแล้วก็

                      “โอ้ย เฮ้ยใครเตะกระป๋องมาวะเนี่ย” ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาหล่อ ผิวขาว คิ้วเข้ม เพื่อนห้องเดียวกันที่เดินออกจากห้องมาก่อนห้านาทีที่แล้วเห็นจะได้ เขายืนกุมหัวที่ถูกกระป๋องน้ำอัดลมมหาปะลัยตกลงมาจากท้องฟ้าซัดเข้ากลางกบาล

                      “สมน้ำหน้า” ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีแต่เพื่อนทั้งสองกลับปิดตาแล้วชี้มาที่ฉัน

                      “ขอบใจ เธอใช่มั้ยที่โยนกระป๋องน้ำอัดลมใส่หัวฉัน” โยนมันยังมีเกียรติและศักดิ์ศรีกับหัวนายมากเกินไปเลยย่ะ

                      “ป่าวนี่ ฉันไม่ได้โยน” ว่าแล้วก็รีบเดินหนีดีกว่า ก่อนไปยังไม่ลืมหันไปทำสายตาอาฆาตให้เพื่อนทั้งสองคน

                      “ทำคนอื่นเจ็บแล้วคิดหนีงั้นเหรอ” อะตอมเดินกึ่งวิ่งตามฉันมา ฉันก็ยิ่งเดินเร็วขึ้น จากเดินเร็วก็เป็นวิ่ง เราทั้งสองคนเลยดูเหมือนกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ และฉันก็ถูกคว้าข้อมือไว้ก่อนจะถึงลานจอดรถจักรยานยนน์นักเรียน

                      “ขี้ขลาด เธอต้องรับผิดชอบฉันด้วย” โฮ๊ก สมัยนี้ผู้หญิงต้องรับผิดชอบผู้ชายแล้วเหรอ

                      “รับผิดชอบบ้าอะไรเล่า” ฉันสะบัดข้อมือแต่อะตอมกลับจับแน่นขึ้นจากคว้าไว้แขนเดียวเป็นคว้าสองแขนแล้วจับมือฉันไขว้หลังไว้

                      “เธอโยนกระป๋องใส่ฉัน” ยังไม่เลิกว่าอีก ก็บอกว่าไม่ได้โยน แต่เตะไปต่างหากเล่า

                      “ก็บอกว่าเปล่าโยน”

                      “เพื่อนเธอบอกเองเลยว่าเธอเป็นคนทำ” อะตอมดึงตัวฉันไปชิดกับแผ่นอกของเขา เราจะใกล้กันเกินไปมั้ย ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นแรงมาก เร็วด้วย คงเร็วพอกันกับเสียงหัวใจฉันแน่ๆ อ้อ ใช่สิ ก็เราวิ่งมานี่นา จะหัวใจเต้นแรงก็ไม่แปลกหรอก

                      “โอ้ย ก็ได้ๆ ฉันเตะกระป๋องไปเองแหล่ะ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้ไปโดนหัวนายนะ นายมันดวงซวยเองต่างหาก” ฉันสะบัดตัวไปมาแต่แทนที่จะถูกปล่อยตัว อะตอมกลับดึงฉันเข้าไปกอด

                      ….” อะตอม

                      ” ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน กอดฉันทำไม นี่คือคำถามที่ก้องอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูด อย่ามาล้อเล่นกับฉันแบบนี้นะ หรือจะตั้งใจให้ฉันชอบนายเหมือนกับที่ท้าเอาไว้ใช่ป่ะ

                      “ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ปล่อยเหอะ” ทั้งที่ใจเต้นจนแทบจะทะลุเสื้อนักเรียนออกมาได้อยู่แล้วแต่ต้องฝืนบอกไปแบบนั้น

                      “งั้นเหรอ รู้ทันซะได้แย่เลย ฮะ ฮะ ฮะ” เสียงหัวเราะแก้เก้อแปลกหูพิลึก

                      “ฉันทำนายเจ็บ นายกอดฉัน เราหายกันไม่ต้องมีใครขอโทษใคร ไปนะ” ฉันรีบวิ่งไปที่รถสกู๊ดเตอร์สีฟ้าอ่อนแล้วสตาร์ทรถขับออกไปอย่างเร็ว นายอะตอมยังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่เดิม จะอะไรก็ช่างเหอะ พรุ่งนี้ต้องเจอหน้ากันเพราะมาช่วยอาจารย์จัดค่ายอบรมจริยธรรม ถ้ามัวเขินนายฉันก็แย่น่ะสิ

       

                      ณ หน้าอาคารอำนวยการ นักเรียนเข้าใหม่ใส่ชุดขาวยืนร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และทำกิจกรรมเหมือนวันมาเรียนปกติ แต่มีเด็กม.5 และ เด็กม.6 ที่มาช่วยงานใส่ชุดขาวยืนประจำตามแถวด้วย อาจารย์ฝ่ายกิจกรรมให้พวกเราคุมแถวและคอยแจ้งกำหนดการให้น้องๆ แต่ละแถวทำกิจกรรมต่างๆ ถ้าน้องๆ ไม่ทำตามพวกเราจะถูกทำโทษแทน ฉันคุมแถวสามอีตาอะตอมคุมแถวสี่ ถ้าฉันแกล้งให้แถวสี่มาทำกิจกรรมไม่ทัน ฮะฮะ อีตาอะตอมจะต้องถูกทำโทษแน่ โอ้ย แค่คิดก็สนุกแระ(นางมารร้ายชัดๆ :เดซี่)

                      “เอาล่ะนักเรียนทุกคน ครูให้เวลาเอาสัมภาระไปเก็บสิบห้านาที เดินตามพี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ท้ายแถวไป แล้วกลับมาเจอกันที่โรงยิม พระอาจารย์จะมาเทศนาต้อนรับและพาพวกเราทำกิจกรรมขัดเกลาจิตใจ ขอให้ทุกคนตรงเวลาด้วยนะคะ” อาจารย์วาสนาอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมประกาศ

                      “ค่ะ/ครับ” ทุกคนรับทราบแล้วก็แยกย้ายเดินตามพี่เลี้ยงไปขึ้นตึก ห้องเรียนถูกเนรมิตให้เป็นห้องนอน งานเข้าเลยหล่ะมีแต่ที่นอนไม่มีมุ้งด้วย ดีนะพกกองกอยสิบห้าทากันยุงมาด้วย ไม่งั้นโดนกัดไข้เลือดออกถามหาแน่

                      “พี่ให้เวลาสิบนาทีนะคะน้องๆ เดี๋ยวเรามาเจอกันตรงนี้แล้วเดินไปโรงยิมพร้อมกัน” พาน้องผู้หญิงขึ้นตึกด้านขวาและน้องผู้ชายขึ้นตึกด้านซ้ายจากนั้นลงมารอข้างล่าง ดูนายอะตอมก็คงพาน้องๆ เข้าห้องแล้วเช่นกันเพราะมายืนอยู่ข้างฉัน

                      “ไง เรียบร้อยดีมะ” ฉันเป็นฝ่ายถามทำลายบรรยากาศมาคุระหว่างเรา ตั้งแต่มาอีตานี่ไม่คุยกับฉันซักแอะเดียว

                      “อืม” พูดน้อยจริง กลัวดอกพิกุลจะล่วงจากปากรึไงยะ

                      “ถ้านายไปช้าจะถูกทำโทษนะ” ฉันนับจำนวนน้องๆ ของฉันจนครบแล้วรีบเดินไปโรงยิม อุ๊ยต๊ายตาย ลืมบอกนายไปอย่างนะอะตอม ว่าน้องของนายคนนึงไปเข้าห้องน้ำก่อนฉันมายืนตรงนี้น่ะ แหม ห้องมันล็อคเองด้วยอ่ะ สงสัยจะมาเข้าแถวไม่ทัน น้องดวงซวยตามนายเลยอ่ะ น่าสงสารห้องน้ำหญิงซะด้วยนายจะหาเจอมะเนี่ย ฮุ๊ฮุ๊ โฮ๊ะโฮ๊ะ

                      “ทำไมแถวสี่ยังไม่มาอีก” อาจารย์วาสนาเดินมาถามฉัน อาจารย์ขาทำไมมาถามหนูล่ะคะ แหมแถวสี่ก็ต้องถามนาอะตอมสิคะอาจารย์

                      “ไม่ทราบค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบ ไม่ทราบที่ไหนกันล่ะ ป่านนี้สงสัยอะตอมกำลังตามหาน้องดวงซวยอยู่น่ะแหล่ะ

                      “รัศมีไปตามให้ครูหน่อยสิ” อาจารย์ไม่รอคำตอบรีบเดินไปเช็คแถวอื่นต่อ ทำไมต้องเป็นเราเนี่ย ถ้าเราหาน้องเจอก็มีพิรุธน่ะสิ โอ้ย ไปก็ได้ เราก็ทำผิดจริงแหล่ะ แค่อยากแกล้งอีตาอะตอมเลยพาลทำให้คนอื่นซวยไปด้วยใช้ไม่ได้เลยเรา

                      “นี่ ทำไมยังไม่ไปโรงยิมอีก” ฉันเดินเข้าไปถามอะตอม

                      “น้องมิ้นม.1 หายไปน่ะสิ ตอนนี้ให้ทุกคนช่วยกันหาอยู่” อะตอมดูเป็นห่วงมากเลย ดูทำหน้าจริงจังแบบนั้นอยากจะกวนทิงก็กวนไม่ออก

                      “เอ่อ งั้นฉันช่วยหาอีกแรงละกัน” ฉันเดินลิ่วๆ มุ่งหน้าไปห้องน้ำหญิง ซึ่งมีน้องสองคนเดินออกมา

                      “น้องมิ้นรึเปล่าคะ” ฉันถามน้องที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่น โฮก ฉันทำอะไรเด็กคนนี้เนี่ย

                      “ค่ะพี่ พอดีพวกเรากำลังตามหาแล้วไปเจอมิ้นถูกขังในห้องน้ำค่ะ” แค่นี้พี่ก็สำนึกผิดแล้วค่ะคุณน้อง ผีมันสิงพี่นะ พี่ไม่ได้เป็นคนนิสัยไม่ดีเลย จริง

                      “ดีแล้วหล่ะจ๊ะที่เจอ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมั้งจ๊ะ คงมีใครมาล็อคเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่เรารีบไปทำกิจกรรมกันเถอะ” ฉันตีเนียนทำตัวเป็นคนดีสุดๆ เข้าไปประคองน้องมิ้นอีกฝั่งเพื่อไปร่วมกิจกรรม ดูน้องยังสั่นเล็กน้อย

                      “เจอแล้วเหรอ ดีที่ไม่เป็นไร” อะตอมวิ่งมาทางเราแล้วรีบเอาผ้าเช็ดหน้าลายการ์ตูน การ์ตูนอีกแล้ว ยังไม่จบใช่ป่ะกับยัยการ์ตูนเนี่ย เอ่อ ไม่ได้หึงนะคะคุณ แค่หมั่นไส้เอาผ้าเช็ดหน้ามาใช้ยังลายการ์ตูนอีก นายอะตอมเช็ดน้ำตาให้น้องมิ้นด้วยท่าทางอ่อนโยน ทีกับฉันเอาแต่ว่าแรงๆ ทีกับน้องมิ้นดูสิเช็ดน้ำตาให้ซะ

                      “ไปกันเหอะ ทุกคนรออยู่” ฉันปล่อยมือจากเด็กมิ้นทันที ถูกคนเอาใจแล้วฉันก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชิ ฉันสะบัดหน้าเดินหนี

                      “เป็นอะไรของพี่เขาเนี่ย” ได้ยินเสียงน้องที่หิ้วปีกเด็กมิ้นอุทานตามหลังมา

       

                      พอน้องๆ ทุกคนเข้าร่วมทำกิจกรรมครบแล้วอาจารย์ก็เรียกนายอะตอมไปต่อว่าหาว่าดูแลน้องได้ไม่ดี แล้วก็หลังจากที่ทุกคนเข้านอนแล้วให้มานั่งสมาธิสำนึกผิดที่โรงยิมคนเดียวหนึ่งชั่วโมง บรื๋อ เวลาสามทุ่มกับบรรยากาศวิเวกวังเวงคนเดียว แค่คิดก็ขนลุก แต่นายนั่นกลับทำหน้านิ่งไม่มีท่าทีจะกลัวเลยแฮะ แมนดีจัง อ๊ะ ป่าวนะ ฉันไม่ได้ชมอีตาขี้เก๊กนี่เลยแม้แต่นิดเดียว กรุณาอย่าเข้าใจผิดถ้าเห็นสายตาแสดงความห่วงใยที่ส่งไปให้ ไม่ได้เป็นห่วงอะไร เพียงแค่รู้สึกผิดนิดนึงที่ฉันเป็นต้นเหตุเท่านั้นเอง ก็ตอนอยากแกล้งมันไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมานี่นา

                      แล้วถ้าฉันเป็นฝ่ายทำแบบนั้นบ้างล่ะ จะเป็นยังไง ไม่เอาน่า นี่ก็เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้แล้ว จะไปสงสารทำไมกันเล่า

                      “นายไม่กลัวเหรอ ต้องมานั่งสมาธิตอนมืดคนเดียวอ่ะ” ฉันหันไปถามเมื่ออะตอมกลับมาที่แถวแล้ว พระอาจารย์ประกาศให้ทุกคนนั่งลงและเปิดสารคดีโรงเชือดสุกรและโคให้นักเรียนดู อี๋ เลือดแดงฉานเต็มจอ ฉันจะไม่กินเนื้อวัวอีกแล้ว ดูสิมันร้องไห้ก่อนโดนทุบด้วยอ๊ากก

                      “ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ ก็แค่นั่งสมาธิ ถ้ามีสมาธิจิตก็ไม่ฟุ้งซ่าน ภาพลวงตาหลอกตัวเองก็จะไม่เกิด” โห บรรลุขนาดนี้ไปบวชเลยดีมะ

                      “ก็จริง” เออๆออๆไปงั้นแหล่ะ สายตาก็มองไปบนจอซึ่งตอนนี้ฉายวีดีโอแม่คลอดลูกให้ดู เสียงร้องครวญครางทุกข์ทรมานขนาดนี้เชียวเหรอ พึ่งรู้นะเนี่ยว่าแม่ต้องเจ็บขนาดนี้กว่าจะคลอดเรามา กลับจากค่ายอบรมนี้ฉันจะไปกราบขอโทษแม่ที่ทำตัวแย่ๆ พูดจาเอาแต่ใจบ่อยๆ

                      “ร้องไห้ทำไมน่ะ” อีตาอะตอมสะกิดฉันที่กำลังเอามือปาดน้ำตา

                      “นายไม่เห็นรึไงว่าแม่ต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะให้เราได้เกิดมาน่ะT-T” ฉันยังตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้ นักเรียนที่มาเข้าค่ายก็นั่งปาดน้ำตากันหลายคน

                      “ไม่รู้สิ แม่ฉันเป็นใครยังไม่รู้เลย อย่าลืมสิว่าฉันอยู่กับพ่อแม่บุญธรรม” เออจริงด้วย อะตอมเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลเศรษฐีที่อยากมีลูกเลยไปขออะตอมมาเลี้ยงเพื่อจะได้มีลูกอิจฉามาเกิด แต่ก็ไม่มีซักทีอะตอมเลยกลายเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในละแวกนี้เลย

                      “ขอโทษที ลืมคิด” ฉันหยุดร้องไห้เพราะพระอาจารย์เริ่มเทศนาสั่งสอนแล้ว ผิดคาดแฮะ ปกติฉันคิดว่าการฟังธรรมมะจะน่าเบื่อ ที่ไหนได้พระอาจารย์เทศฮามากเลย พวกเราหัวเราะกันดังลั่นสนั่นโรงยิม และตบท้ายด้วยกันนั่งสมาธิก่อนจะปล่อยไปกินข้าวกัน

                      “เค้าว่ากันว่าถ้านั่งสมาธินานๆ จะเห็นหวยด้วยหล่ะ” ฉันหันไปหาอะตอม

                      “บ้า พวกที่เห็นเลขนั่นเพราะจิตฟุ้งซ่านหรอกน่า” เอาจริงเกินไปป่าวเนี่ย คนอุตส่าห์ชวยคุยไม่ให้เครียด แปลกนะ ทำไมฉันถึงคุยกับอะตอมได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่ทุกครั้งจะอึดอัดใจเวลาได้อยู่ใกล้กัน หรือเป็นเพราะตอนนี้อะตอมโสดแล้วก็ไม่รู้ หายใจเข้าพุธ หายใจออกโทร อืม อยากลองโทรหาอะตอมอีกบ้างจังเลย เมื่อก่อนตอนตามตื้อนายก็ชอบพูดจาแย่ๆ กับฉันเสมอ ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะจะโทรไปได้มั้ย

                      “ใจปล่อยวาง ทำจิตให้ว่างแล้วหายใจเข้า” พระอาจารย์ก็ยังทำหน้าที่ต่อไปใจฉันก็กำลังจินตนาการถึงผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป ฟุ้งซ่านกว่าไม่นั่งสมาธิอีกอ่ะ

                      “อีกห้านาทีหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ” ทำตามไปนานๆ ก็ชักง่วงนอนแฮะ ฮ้าว น่าจรรโลงใจตรงไหนกันนี่ นั่งสมาธิ คร่อกๆ ฟรี๊ๆ หลับสบายจังเลย

                      “รัศมีนางสาวรัศมี เสนาพินโยราษฎร์” อ๊ะ ชื่อฉันนี่

                      “คะ..ค่ะ ขาอาจารย์” ดวงตากลมโตยิ่งโตขึ้นอีกล้านเท่าเมื่ออาจารย์วาสนาและอาจารย์พิเชษฐ์ที่สอนวิชาพุทธศาสนานั่งจ้องหน้าฉันอยู่ ไม่ใช่แค่ดวงตาสี่คู่เท่านั้นนะ ยังมีอีกสองคู่ของนายอะตอมอีกแน่ะ

                      “เธอหลับได้ยังไงกันเนี่ย ทำไมไม่คุมแถวน้องนักเรียนใหม่ไปกินข้าว” อาจารย์วาสนาทำเสียงดุ

                      “หนูหลับเหรอคะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ยังคงเถียงหน้าตาย อ๋อ นึกออกแล้ว หลับตอนหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ นั่นเอง เอวังก็เป็นประการละชะนี้

                      “เธอต้องถูกทำโทษนะรัศมี คืนนี้สามทุ่มมานั่งสมาธิที่โรงยิมเพื่อสำนึกผิดพร้อมสิทธิชัยหนึ่งชั่วโมง” คำสั่งประกาศิต ทำไมนายอะตอมไม่ปลุกฉันเล่า ก่อนที่อาจารย์จะมาก็ยังดี เฮอะ คนแล้งน้ำใจอย่างนายอะตอมน่ะเหรอจะช่วยเรา ขนาดเรายังแกล้งให้นายนั่นถูกทำโทษเลย ฮึ รีบกินข้าวแล้วไปเตรียมกิจกรรมต่อดีกว่า

                      “ดีจังนะ มีเพื่อนนั่งแระ” นายนั่นทำเสียงชื่นชมยินดีปรีดาป๊าดีด๊าดีดั๊บแล้วเดินจากไป อยากเป็นเพื่อนนายมากเลยเจ้าคะ เอาเลยค่ะเอาเลย โชคชะตาจะเล่นตลกอะไรกับยัยรัศมีก็ทำเลยนะเจ้าคะ ยินดีน้อมรับค่ะ

       

                      กินข้าวเที่ยงเสร็จพวกพี่เลี้ยงอย่างเราก็มาเตรียมนำเล่นเกมสันทนาการ มีทั้งหมดสามเกม โดยเกมแรกจะให้ยืนบนหนังสือพิมพ์เพื่อพิสูจน์ความสามัคคีและจะได้ช่วยกันวางแผน โดยให้ยืนบนหนังสือพิมพ์แล้วค่อยๆ พับจนเหลือเล็กที่สุด

                    เมื่อแบ่งทีมผู้เล่นทีมละ 4 คน แต่มีเศษอยู่สองคนเป็นยัยน้องมิ้นกับเพื่อนหน้าขาวอาจารย์เลยจับพี่เลี้ยงที่ถูกทำโทษอย่างเราสองคนไปรวมกลุ่มด้วย ดูยัยเด็กมิ้นจะดีใจเป็นพิเศษ ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าดีใจเพราะอะไร แต่ถ้าจะให้เดาต้องเกี่ยวกับอีตาผู้ชายตัวสูงข้างฉันแน่

                      “เอาล่ะค่ะน้องๆ เดี๋ยวพี่จะแจกหนังสือพิมพ์ให้คนละ 1 คู่ แล้วเราจะค่อยๆ พับ จนกว่าจะเหลือทีมชนะเพียงทีมเดียวนะคะ เริ่มได้ค่ะ” สี่คนกับหนังสือพิมพ์หนึ่งคู่สบายมาก พอเหลือหน้าเดียวก็ยากมาอีก พอพับครึ่งของครึ่งคราวนี้เราสี่คนได้ยืนกันคนละเท้าอีกเข้าต้องยกขึ้นแล้วใช้มือจับกันไว้แน่น ยัยน้องมิ้นหน้าแดงด้วยหล่ะเมื่อได้จับมืออีตาอะตอม หมั่นไส้นักพอเหลือครึ่งของครึ่งของครึ่งแล้วฉันเลยให้อะตอมอุ้มแล้วให้น้องอีกสองคนเหยียบกระดาษไว้คนละครึ่งฝ่าเท้าแล้วสองคนนั่นก็เกาะเอวอะตอมไว้

                      “เธอตัวหนักมากเลยยัยถังเบียร์” หยาบคายที่สุด แทนที่ยัยน้องมิ้นจะอิจฉาที่ฉันถูกอุ้ม ยัยหน้าขาวกับยัยเด็กมิ้นกลับหัวเราะที่ฉันถูกอะตอมแซว ฉันเลยดิ้นจะลงแต่อะตอมรวบฉันเข้าไปกระชับไว้แน่นเพราะไม่อยากแพ้มั้ง สุดท้ายทีมเราก็ชนะ ยัยเด็กมิ้นกระโดดกอดกับเพื่อนหน้าขาวของหล่อน

                      “เกมส์ต่อไปยังคงเล่นเป็นทีมเหมือนเดิมนะคะ เป็นการผูกขาติดกันแล้วเหยีบลูกโป่ง ทีมไหนลูกโป่งแตกหมดแล้วต้องออกมานั่ง ทีมที่มีคู่เหลือลูกโป่งอยู่สามคู่สุดท้ายจะเป็นฝ่ายชนะค่ะ” พี่ซินดี้ม.6 เป็นคนชี้แจงเกมส์นี้ ก็น่าสนุกอยู่หรอกถ้าฉันไม่ต้องผูกขาติดกับอีตาอะตอมนี่ ความจริงเล่นสองคนก็ได้ทำไมต้องเป็นทีมด้วยก็ไม่รู้เนี่ย

                      “เริ่มได้” สิ้นเสียงนกหวีดขาของฉันกับขาของอะตอมก็ไม่สามัคคีกันพอเดินขัดไปขัดมาฉันก็เกือบล้มดีว่ามือใหญ่ของอะตอมคว้าแขนฉันไว้ได้ทันก่อนที่จะจับมือฉันไปกอดเอวแล้วก็ใช้แขนโอบไหล่ฉันไว้

                      “ค่อยๆ ก้าวนะ ฉันก้าวเท้าซ้ายก่อนเธอก้าวเท้าขวาก่อน ส่วนข้างที่มัดติดกันก็ก้าวพร้อมกัน เคนะ” อะตอมวางแผนเสร็จสรรพ น่าแปลกที่ขาเราก้าวไปด้วยกันอย่างง่ายดาย แต่หัวใจฉันสิเต้นโครมครามเลย รู้สึกเขิน อาย และ และก็ และก็รู้สึกว่าชอบผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เหมือนเมื่อก่อน ไม่สิ ชอบมากว่าแต่ก่อนซะอีก อร๊ายยย เขิน

                      “แตกจนได้นะ” แล้วลูกโป่งของเราก็ถูกทีมอื่นเหยียบแตก เราสองคนเดินมานั่งแล้วก้มไปแกะผ้ามัดขาออกพร้อมกันจนหน้าเราเกือบชนกัน ใกล้มากจนมองเห็นหน้าอะตอมชัดเจน เนียนน่าสัมผัสจัง ฮ๊า ผิวขาวละเอียดยังกับผิวเด็ก แถมอมชมพูปากก็แดงน่าจูบ อ๊ะ ฉันคิดอะไรอยู่น่ะ ลมหายใจร้อนผ่าวที่รวยรินตรงหน้าแน่เลยที่ทำให้ฉันเผลอไป หรือจะเป็นกลิ่นโคโรญจ์ผู้ชายจางๆ ปนกลิ่นเหงื่อสุดเซ็กซี่กันแน่นะ โฮก อยากปล้ำนายตรงนี้จังเลยอะตอม

                      “แพ้เลยเนอะ ฮะฮะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ ยิ้มแหยๆ ให้อีตาอะตอมซึ่งยังทำหน้าจริงจัง แก้มแดงระเรื่อขึ้น อย่าบอกนะว่านายก็เขินฉันน่ะ

                      “อืม” เราแก้ผ้าเสร็จ อ๊ะ แก้ผ้ามัดขาจ๊ะอย่าคิดลึกนะ แล้วก็นั่งรอกิจกรรมเสร็จลง น้องมิ้นกับเพื่อนหน้าขาวก็แพ้แล้วกลับมานั่งรวมกลุ่มกัน รอจนได้ทีมชนะสามทีม

                      “กิจกรรมสองกิจกรรมที่ผ่านมาทำให้พวกเรารู้จักการทำงานเป็นทีม การวางแผน และการช่วยเหลือกันและกัน เอาหล่ะค่ะ ต่อไปเป็นกิจกรรมต่อให้ยาว” พวกผู้ชายฮือฮาผิวปากใส่พี่ผู้นำกิจกรรมแต่ก็ต้องสลดลงเมื่อพี่เขาอธิบายต่อ

                      “เกมนี้จะต้องเอาสิ่งของที่ตัวเองมีทั้งหมดมาต่อกันให้ยาวที่สุด เราจะเล่มเป็นแถวน้องๆ มีแถวละเท่าๆ กันยกเว้นแถวสามกับแถวสี่ซึ่งขาดแถวละคนให้พี่เลี้ยงประจำแถวเล่นเกมด้วย เอาหล่ะ เริ่มได้” โดนตลอดศกเลยเหรอคะเนี่ย ยังกับมาเข้าค่ายซะเองเลยค่ะคุณพี่ขา แต่เราก็ไม่ยอมแพ้แน่ พวกน้องๆ เริ่มถอดรองเท้าต่อกันเป็นแถวยาว คนที่สวมนาฬิกา สร้อยคอสร้อยข้อมือยางรัดผมผ้าพันคอก็ถอดมาต่อกันจนหมดสิ้น เริ่มมีเสียงเชียร์ให้ผู้ชายถอดเสื้อ ผู้ชายแถวสามถอดกันไปสามอีกสองคนเป็นเทยไม่ยอมถอดเราก็ไม่ว่ากัน แต่แถวสี่เริ่มตามเราทันแล้วทำไงดีล่ะ

                      “น้องคะถอดเหอะนะ เดี๋ยวเราจะแพ้แถวนี่นะคะ” ฉันบิ้วน้องเทยสองคนจนชียอมสะบัดยางอายถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อกล้ามทั้งสองคน

                      “พี่อะตอมคะ ถอดเถอะคะแถวสามยาวกว่าเราแล้วนะ” ฉันหันไปตามเสียงของน้องมิ้นที่มองอะตอมตาเป็นประกาย จะให้เชื่อดีมั้ยว่าสายตาหื่นๆ นั่นจะมาจากเด็กม.1 อายุแค่สิบสาขวบเนี่ย เฮอะ อีตานั่นก็บ้าจี้กำลังจะถอดเสื้อแล้วอ่ะ แล้วก็ดันหันมาโชว์ซิกซ์แพ็กตรงหน้าฉันพอดี เต็มๆ หุ่นดีชะมัดเลย กำเดาจะไหล

                      “พี่ครับทำไงดีแถวสี่ยาวกว่าแถวเราแล้วนะครับพี่” น้องผู้ชายในแถวหันมาทำสายตาหื่นใส่ฉันบ้าง อะไรฟะฉันเป็นผู้หญิงนะเฟ้ย แต่จะให้ยอมแพ้ทีมนายอะตอมฉันไม่มีทางหลอกย่ะ เอาหล่ะฉันล้วงเข้าไปใสเสื้อแล้วก็ ทุกคนกำลังตะลึงคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ฉันกำลังจะทำ แน่นอนว่าฉันยื่นมือเข้าไปในเสื้อจนสัมผัสถูกทรวงอกเต่งตึงของตัวเอง จากนั้น

                      แฟร่บบบบบ ลงทันทีอย่างน่าใจหาย แล้วก็ต้องยืนไว้อาลัยกับหน้าอกไข่ดาวของตัวเอง สาวอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์อย่างเราคัพซีค่ะพี่คัพซียิ่งกว่าแอลซีดีใครๆ ก็แซวว่าฉันมันแอลซีดีไม่มีการซ่อนรูปใดๆ ฉันดึงกระดาษทิชชู่จากเสื้อในดันทรงออกมาแล้วก็คลี่ออกมาวางต่อกันเป็นแพ จนกระทั่งแถวของเรายาวกว่าแถวสี่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของน้องนักเรียนใหม่ ทำไมยะ ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งย่ะ แต่อายยังไงฉันก็ชนะนายอะตอมได้แหล่ะ

                      “เอาเป็นว่าแถวสามเป็นทีมที่ชนะไปนะคะ ปรบมือให้หน่อยค่ะ” ใช่แล้วค่ะพี่ ปรบมือให้กับความน่าอับอายของยัยรัศมีเลยค่ะ น่าขายหน้าชะมัด ฉันรีบเก็บกระดาษทิชชู่ใส่กระเป๋าเอาแขนหนีบหน้าอกไม่ให้ชั้นในหลุด

                      “เกมส์นี้สอนให้รู้จักการเสียสละ ถ้าเรายอมทำเพื่อส่วนรวมชัยชนะก็จะเป็นของเรานะคะทุกคน” พี่ม.6 ที่นำเกมส์อธิบายในขณะที่ฉันกับนายอะตอมกำลังจ้องกันอยู่ นายน่าจะใส่เสื้อได้แล้วนะ ถือไว้ทำไมล่ะ

                      “ใส่นี่สิ เสื้อเธอมันตัวเล็กทรงชัดไป” กรี๊ดดดด นายจ้องหน่มน๊มฉันอยู่เหรอ น่าอายชะมัด ฉันรีบคว้าเสื้อแล้วสวมทับตัวในทันที

                      “แล้วนายไม่อายรึไงยืนแก้ผ้าอยู่ได้” อันนี้แก้ผ้าจริงไม่ใช่ผ้ามัดขาแระ แก้ผ้าท่อนบน

                      “เราก็อายเท่าๆ กันไง รีบไปเข้าห้องน้ำสิ” นี่อะตอมช่วยเราไว้เหรอเนี่ย ฉันรีบใส่เสื้อคลุมทับแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำก่อนจะจัดแจงยัดเยียดทรวดทรงให้เต่งตึงเด้งดึ๋งดังเดิม แล้วก็ถอดเสื้อของอะตอมออกจะเอาไปคืน แต่กลิ่นตัวของอะตอมหอมจังเลย ฮ๊า ขอกอดหน่อยละกันนะ ห๊ะ ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย เหมือนยัยโรคจิตเลยอ่ะ ไม่ได้ๆ ต้องรีบเอาไปคืน เฮ้ย ห้องล็อค ห้องน้ำหญิงที่ล็อคจากประตูด้านนอกได้น่ะมันถูกลงกลอนไว้

                      “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย มีคนถูกขังอยู่ในนี้” ฉันตะโกนให้คนมาช่วยแต่ก็เงียบกริบ นี่คงเป็นกรรมตามสนองฉันสินะที่ขังยัยเด็กมิ้นไว้น่ะ โฮก กรรมติดจรวดไม่ต้องรอชาติหน้ากันเลยทีเดียว นักเรียนคงแยกย้ายไปกินข้าวกันแล้วและคงไปใช้ห้องน้ำฝั่งหอประชุม กว่าจะมีคนมาเข้าห้องน้ำตรงนี้คงพรุ่งนี้เช้า โอ้ย ไม่เอานะฉันกลัวผี ฟ้าเริ่มสลัวๆ แล้วด้วย

                      “เฮ้ แฟนต้า เธออยู่ในนั้นรึเปล่า แฟนต้า” อ๊ะ เสียงอะตอมนี่

                      “อะตอม ฉันถูกขังในห้องน้ำ ช่วยฉันด้วย”  ดีใจที่สุดอ่ะ ไม่เคยได้ยินเสียงใครแล้วดีใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต

                      “เป็นไงมั่ง” ฉันโผเข้าไปกอดร่างเปลือยท่อนบนของอะตอมไว้ทันทีที่ประตูเปิดออก ดีใจจนเกือบร้องไห้แน่ะ

                      “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ฉันกำลังซาบซึ้งยังไม่ทันถึงสองนาทียัยเด็กมิ้นก็กระแอมขึ้นด้านหลังเรา

                      “ขอโทษนะคะที่ขัดจังหวะ พอดีอาจารย์เรียกหาพวกพี่อยู่น่ะค่ะ” เด็กมิ้นยิ้มมุมปาก ไม่น่ารักเลยซักนิดดูเจ้าเล่ห์มากกว่า

                      “ขอบใจน้องมิ้นมากนะคะที่มาบอก” อะตอมหันไปยิ้มให้หล่อน ทำไมนายชอบใจดีเรี่ยราดเนี่ย ฉันไม่ชอบเลย เออ ยอมรับก็ได้ว่าหึง

                      “พวกหนูกินข้าวเสร็จแล้วขอตัวนะคะพี่ๆ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” น้องหน้าขาวที่เดินมาเป็นเพื่อนยัยมิ้นก็เอ่ยขึ้น เพราะกลัวตัวเองถูกลืมมั้ง อยู่ด้วยกันมาทั้งวันฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลยนะจ๊ะ

                      “พวกเราก็ไปกันเหอะ” ฉันคืนเสื้อให้อะตอมแล้วพูดขึ้น เราเดินไปหาอาจารย์ซึ่งก็เป็นไปตามที่ฉันคาดหมาย เพียงเพราะอาจารย์วาสนายังไม่ลืมเรื่องทำโทษเราสองคนจึงให้รีบกินข้าวอาบน้ำพาน้องเข้านอนให้เรียบร้อยแล้วก็ให้กลับมารับโทษที่โรงยิม เราจึงแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว

                     

                      เงียบอย่างน่าใจหาย วังเวงได้โล่ จะน่ากลัวให้ได้รางวัลสยิวกิ๊วอะวอร์ดรึไงกันเนี่ย นายอะตอมก็ยังไม่มาซักที ฉันนั่งลงที่ตรงใจกลางความรู้สึกเสียวสันหลัง โล่งโจ่ง โดดเดี่ยว แล้วก็โหยหาการมีใครซักคนมานั่งเคียงข้างซึ่งก็กำลังเดินตรงมาหาฉันแล้ว

                      “นายมาช้า” หรือว่าฉันมาเร็วหว่า

                      “โทษที พอดีน้ำมันไหลช้าน่ะ” ข้ออ้าง น้ำฉันก็ไหลช้ายังอาบเสร็จก่อนนายเลย หรือเพราะฉันล้างตัวไม่เกลี้ยงหว่า ไม่มั้งกลิ่นตัวฉันหอมออก แต่กลิ่นตัวนายอะตอมหอมกว่า หอมแบบรัญจวนใจเลยด้วย เราจะนั่งใกล้กันเกินไปมั้ยอ่ะ หลังนายติดกับหลังฉันแล้วนะ

                      “เค้าว่ากันว่าเวลาเข้าป่าต้องหันหลังชนกันนะ จะได้เห็นรอบทิศเพื่อระวังหลังให้กันและกัน”

                      “แต่นี่มันโรงยิมนะไม่ใช่ป่า”

                      “แต่ที่นี่ก็น่ากลัวไม่ใช่เหรอ หรือเธอไม่อยากให้มีใครระวังหลังให้”

                      “มันก็ใช่ แล้วถ้ามันโผล่มาข้างหน้าล่ะ”

                      “เธอก็โดนคนเดียวไง ฮ่าฮ่า” อืม ดี ช่วยได้มาก แต่ขออย่าได้เจออะไรเลย แค่ชั่วโมงเดียวรีบนั่งรีบไปเหอะ

                      “เธอว่าโลกนี้มีผีจริงป่าว” คำถามชวนโดนต่อยมาก

                      “กลางค่ำกลางคืนห้ามถามเรื่องผี” จากนั่งสมาธิเป็นนั่งพนมมือสวดมนต์แล้ว ไม่ไหวจ๊ะ กลัวจริงอะไรจริง

                      “เหรอ” เป็นคำถามหรือกวนติงฉันนายอะตอม

                      “เงียบทำไมอ่ะ” จู่ๆ เงียบไปวังเวงชะมัด

                      “ก็เธอไม่ให้ฉันพูด” แกล้งโง่หรือโง่จริงเนี่ย

                      “แค่ไม่ให้พูดเรื่องผี” น่านไง สิ่งที่ฉันไม่ได้เรียกร้องมาแระ

                      “แคร๊งๆ แคร๊กๆ เพล้ง” โอ้ย ไม่ไหวจ๊ะไม่ไหว ฉี่จะราด

                      “เฮ้ย กอดฉันทำไมเนี่ย” ปลิงเรียกพี่เลยหล่ะงานนี้ฉันเกาะอีตาอะตอมแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก

                      “เสียงอะไรน่ะ นายได้ยินป่าว เสียงเหมือนแก้วแตก มันดังได้ไงอ่ะ” อะตอมค่อยๆ แกะมือฉันออกก่อนที่เขาจะถูกฉันรัดคอตาย

                      “ตั้งสติหน่อยสิ ผีไม่มีในโลก” แล้วเมื่อตะกี้นายถามฉันหาพระแสงของ้าวดาบหักอะไรมิทราบถ้าเชื่อว่าผีไม่มีในโลก

                      “แต่เมื่อกี้มีเสียงนะ”

                      “ก็แค่เสียงน่า ไปดูกัน” นายจะพาฉันไปดูผีตัวนั้น ตัวนี้ มีฤทธิ์มากมาย มองไปก็รักๆ มันทุกตัวน่ะเหรอ

                      “ไม่เอา ฉันกลัว” อะตอมฉุดฉันยืนขึ้นแต่ขาฉันสั่นผับๆ เป็นเจ้าเข้า อะตอมเลยดึงมือไปกุมไว้ อุ่นดีจังเลยแต่ก็ยังไม่หายกลัวอยู่ดี

                      “เอาอย่างนี้นะ ถ้าเธอกลัวก็หลับตาแล้วจับมือฉันไว้ เชื่อใจฉันนะ” ไม่รอคำตอบอะตอมก็ดึงมือฉันเดินไปข้างหน้าฉันได้แต่หลับตาปี๋แล้วก้าวเร็วๆ ตามอะตอมไป พอเค้าเบรกกะทันหันฉันก็ชนเข้ากับแผ่นหลังอย่างจัง

                      “ซุ่มซ่ามจริง” ว่าแล้วฉันก็ถูกรวบเอวไปกอดไว้แบบไม่เข้าใจตัวเอง

                      “ปล่อยให้ห่างไม่ได้เลยนะเธอนี่” ฉันหลับตาซบอยู่กับอกของอะตอม อบอุ่นมากเลย แอบอิจฉาน้องการ์ตูนมาตลอดตอนนี้อ้อมกอดนี้อยู่ตรงหน้าฉันแล้วนะ

                      “เมี้ยว เมี้ยว” เสียงแมวนี่นา

                      “เจ้าเหมียวนี่เอง เล่นเอาซะพี่สาวกลัวแทบแย่เลยนะ” อะตอมคลายอ้อมแขนออกจากฉันแล้วเดินไปอุ้มลูกแมวขึ้นมา มันน่ารักมากเลย แมวสีสวาทตัวเขื่องน่ากิน เอ้ย น่ารักน่าชังอ้วนจ้ำม้ำ ฉันมองตามันแต่มันกลับเมินฉัน

                      “น่ารักตายเลยเจ้าเหมียวหม่าว ฉันเกือบหัวใจวายแล้วนะ” ฉันเขกหัวเจ้าเหมียวไปหนึ่งทีมันขู่ฉันฟ่อทันที

                      “รังแกกระทั่งแมวนะเธอเนี่ย ฮ่าๆๆ” แหม หัวเราะแบบนี้ก็เป็นด้วย น่ารักจังเลยอ่ะ พลอยทำให้ฉันมีความสุขไปด้วยเลย ถ้าหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้ก็ดีน่ะสิ

                      “ไปซะเจ้าเหมียว อย่ามาทำอะไรตกแตกอีกล่ะ” อะตอมปล่อยแมวแล้วหันมาหาฉัน แล้วเราก็จ้องตากันในบรรยากาศเงียบสงัด ในที่นี้มีเพียงเราสองคน อย่าเงียบแบบนี้ได้มั้ยฉันอึดอัดนะ  จะสามนาทีอยู่แล้วที่อะตอมมองหน้าฉันแล้วฉันก็มองหน้าอะตอม แล้วเราก็มองหน้ากัน (จะบรรยายให้มันเปลืองหน้ากระดาษทำไมเนี่ยพี่เดซี่ มันก็ความหมายเดียวกันนะเนี่ย:แฟนต้า)

                      “แฟนต้า/อะตอม” ต่างคนต่างเรียกชื่อกัน

                      “เธอพูดก่อนสิ”

                      “นายนั่นแหล่ะมีอะไร” แล้วเราก็ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน รู้สึกเสียวซ่านหัวใจอีกครั้ง

                      “ตอนเธอกลัวอ่ะ น่ารักดีนะ” นะ นะ..นาย นายชมฉันว่าน่ารักงั้นเหรอ อร๊ายยยย เขิน หน้าคงแดงไปหมดแล้วมั้งเนี่ยคนบ้านี่ชมเค้าหน้าตาเฉย

                      “ตอนนายอุ้มแมวก็ดูอ่อนโยนดีนะ” ฉันพูดจบก็หลบสายตา แต่เป็นมืออะตอมที่เชยคางฉันขึ้นสบตาเขา

                      “เธอยังชอบฉันอยู่รึเปล่า” คำถามแทงใจดำ แต่สายตาจริงจังจนฉันปฏิเสธไม่ลง แต่จะตอบก็อาย

                      “ถ้าเธอไม่ตอบฉันจะถือว่าเธอชอบฉันนะ” ขี้โกงนี่นา อย่าทำตาซึ้งแบบนี้นะ อย่าก้มมาใกล้ แล้วก็อย่า อ๊ายไม่ทันแล้วริมฝีปากแดงฉ่ำกำลังลุกล้ำปากบางสีชมพูระเรื่อของฉัน แผ่วเบาแต่ให้ความรู้สึกวาบหวิวแผ่ซ่านซะจนอยากจะกรีดร้องให้ก้องโลก ซักพักก็ลงน้ำหนักมากขึ้นฉันสัมผัสได้ถึงริมฝีปากร้อนผ่าวและลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดอยู่บนใบหน้าพร้อมกับจุมพิตอันตราตรึงใจนี้ อะตอมจูบเก่งมากจนฉันเผลอตอบรับเลยหล่ะถ้าไม่ได้ยินเสียง

                      “ทำอะไรกันน่ะ ให้มาสำนึกผิดนะไม่ได้ให้มาพลอดรักกัน” เสียงอาจารย์วาสนานั่นเอง โธ่อาจารย์ กำลังได้ฟิวส์ อ๊ะ ทำไมฉันกลายเป็นผู้หญิงไร้ยางอายแบบนี้นะ ทั้งที่ในห้องเรียนยังเถียงกันแทบตายว่าจะไม่ตกหลุมพรางเสน่ห์อีตาอะตอม ห๊ะ หรือว่านี่ก็อยู่ในแผนด้วย เล่นสกปรกนี่นา ทำให้ฉันหัวใจสั่นไหวแล้วนายก็จะสะใจที่เห็นฉันหน้าแตกใช่มะ ไม่มีทางซะหรอก

                      “ไม่ได้พลอดรักกันนะคะอาจารย์ หนูแค่กลัวผีอะตอมแค่ทำให้หนูหายกลัวเท่านั้นเองค่ะ” ฉันรีบผลักอะตอมออก ไม่ต้องมาทำสายตาเจ็บปวดนะ ฉันรู้ว่านี่มันเป็นการแสดง คนที่รักน้องการ์ตูนนักหนาคนนั้นน่ะ อกหักไม่ถึงอาทิตย์ไม่มีทางมารักฉันได้หรอก

                      “เป็นอย่างนั้นจริงเหรอสิทธิชัย” อาจารย์พิเชษฐ์เดินมาสมทบอาจารย์วาสนา

                      “ครับอาจารย์” ตอบน้ำเสียงสั่นๆ คงกำลังปรับอารมณ์มั้งเมื่อกี้ซะขนาดนั้นนี่นา

      “น่าสงสัยนะ” อาจารย์พิเชษฐ์จ้องเราสองคนสลับกันเหมือนจับผิด

      “แล้วทำไมอาจารย์พิเชษฐ์ถึงอยู่กับอาจารย์วาสนาล่ะครับ” ในระหว่างที่งานกำลังจะเข้าพวกเรา อะตอมยิงคำถามที่อาจารย์ทั้งสองคนหน้าแดงแจ๋

                      “ครูถามพวกเธออยู่นะ ไม่ได้ให้พวกเธอมาถามครูกลับ เอาล่ะๆ ไปพักผ่อนกันได้แล้ว อ้อ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้านะ ต้องมาเตรียมอาหารไว้ให้น้องๆ” อาจารย์วาสนาเดินเร็วหนีพวกเราไป อาจารย์พิเชษฐ์หันมาทำตาดุใส่อะตอม คงเขินที่พวกเราจับได้มั้ง อาจารย์จะรักกันก็ไม่เห็นเป็นไรเลยอายเป็นเด็กไปได้

                      “เมื่อกี้นี้” อะตอมหันมาถามฉันด้วยสายตาเย็นชา

                      “อะไรเหรอ” ฉันพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติทั้งที่ยังใจสั่นแขนขาไร้เรี่ยวแรงอยู่

                      “เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ทำไมต้องถามแบบนี้ด้วยล่ะ อยากลองใจฉันว่าตกหลุมพรางของนายจริงรึเปล่างั้นสิ

                      “ไม่เลย” ฉันโกหกเธอ อันที่จริงแค่อยากจะอยู่ใกล้เธอ ฉันโกหกเธอ อันที่จริงก็หวั่นไหวเมื่อใกล้เธอ เหอะเหอะ แต่พูดไปก็เสียศักดิ์ศรีอ่ะ

                      “ก็ดีแล้ว” อ่ะ ก็ดีแล้วเนี่ยนะ มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

                      แล้วเราก็กลับมาอยู่ในสภาวะชวนอึดอัดอีกครั้งก่อนจะเดินจากกันไปง่ายๆ เป็นแบบนี้น่ะเหรอ มันจะจบแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย เจ็บจังเลยอ่ะ แปล๊บๆ ตรงกลางขั้วหัวใจเลยด้วย

                      “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะแฟนต้า” อะตอมชกผนังอาคารก่อนจะเดินออกประตูไปปล่อยฉันยืนโง่อยู่คนเดียว ทำแบบนั้นทำไม ชกผนังปูนทำไม อยากเจ็บเหมือนที่ใจฉันมันเจ็บรึไงเล่าอีตาโง่เอ้ย

       

                      ฉันพยายามนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นทั้งแปลกที่และใจมีแผลเหวอะหว่ะกว่าเดิม ถ้าฉันไม่รักนาย ถ้าฉันไม่ชอบนายมากขนาดนี้จะทรมานใจเหมือนอย่างตอนนี้มั้ยนะ

                      “พี่อะตอมคะ ให้น้องมิ้นช่วยนะคะ” ยัยเด็กมิ้น อย่ามาใกล้อะตอมนะ เออ แล้วฉันมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเค้าไม่ให้ใกล้กันล่ะ

                      “ไม่เป็นไรค่ะเป็นหน้าที่พี่เลี้ยง ต้องดูแลนักเรียนใหม่อยู่แล้วค่ะ” พูดแบบนี้อีกแล้ว เหมือนกับที่ชอบพูดกับน้องการ์ตูนเลย ทั้งที่เมื่อวานยังจูบฉันอยู่แท้ๆ วันนี้กับยิ้มเหมือนมีใจให้ยัยเด็กมิ้นนี่

                      “ไปกันเหอะดาว เตรียมเข้าแถวกินข้าวกัน” ยัยเด็กหน้าขาวชื่อดาวนั่นเอง สองคนนั้นเดินจากไปแล้วเหลือฉันกับอะตอมยืนมองหน้ากันฉันถือถาดข้าวส่วนอะตอมตักข้าวใส่ถาดหลุมก่อนจะส่งไปให้พี่เลี้ยงคนถัดไปตักกับข้าวส่งให้น้องๆ ที่กำลังเข้าแถวรับถาดอาหารเช้า อยากหลบสายตาเย็นชานั่นจังเลย ปรับอารมณ์เร็วแท้ เมื่อกี้ยังตาหวานเยิ้มอยู่เลย

                      “มองอะไร ฉันหล่อมากขนาดจ้องตาไม่กระพริบเลยหรือไง” เฮ้อ ค่อยยังชั่ว บรรยากาศแบบเป็นตัวของตัวเองกลับมาแระ

                      “หล่อตายแหล่ะย่ะ คงหล่อในสายตาน้องมิ้นอะไรนั่นคนเดียวแหล่ะ” ฉันเมินหน้าหนีทำให้ถาดข้าวเลื่อนตามมาด้วยข้าวเลยหกลงพื้น

                      “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า ผู้คนอดอยาก มีมากนักหนา สงสารบรรดา คนยากคนจน” เสียงพระอาจารย์เทศนาเด็กนักเรียนที่ถือถาดข้าวไปนั่งทำให้รู้สึกละอายใจที่เป็นเหตุให้ข้าวตกพื้น จะเก็บกินก็กลัวพยาธิ

                      “เสียดายของ”

                      “จะเก็บกินรึไงเล่า คนผิดยังเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าวหกก็ตักใหม่ได้เหมือนกัน” ทำเป็นวาทศิลป์ เฮอะ ฉันยื่นถาดให้เขาอีกครั้ง

                      “เหมือนคนบางคนไง เคยทำให้คนอื่นเจ็บแล้วยังสามารถทำให้เจ็บใหม่ได้อีกเลยเนอะ” ฉันจ้องหน้าอะตอม

                      “ใช่ ทำคนอื่นเจ็บแล้วเจ็บอีกยังไม่รู้ตัวเลย” อะตอมมองฉันตอบ

                      “สองคนนั้นน่ะ น้องรอกินข้าวนะ” เสียงพี่เลี้ยงที่รอตักกับข้าวตะโกนต่อว่ามาเราจึงเลิกสนทนาแล้วตักข้าวยื่นต่อโดยเร็ว จากนั้นเราก็ไม่พูดกันอีกเลยทั้งวัน อึดอัดชะมัดที่ต้องคุมแถวใกล้กัน แถมต้องทนดูการจ๊ะจ๋าจิ๊จ๊ะจึกกะดึ๋ยของยัยเด็กมิ้นกับนายอะตอมอีก

                      “พี่คะ พี่ว่าสองคนนั้นเหมาะสมกันมั้ยคะ” ยัยน้องดาวอยู่แถวฉันถามขึ้น

                      “อ่ะ อะไรนะ”

                      “ก็มิ้นกับพี่อะตอมอ่ะค่ะ มิ้นก็น่ารักร่าเริง พี่อะตอมก็หล่อบาดใจ สองคนนั้นเหมาะสมกันดีนะพี่ว่าป่ะ” เหมาะสมมะเหงกสิ ฉันต่างหากล่ะทั้งสวย ทั้งน่ารักร่าเริงบ้านรวย อะไรก็เหมาะกับอะตอมกว่าใครแล้วทำไมถึงเป็นยัยเด็กนั่นที่ได้สนิทกับอะตอมล่ะ

                      “อะ อืม” แต่ใครจะไปกล้าเถียงล่ะ ยัยเด็กดาวซินโดมนั่งอมยิ้มเหมือนถูกใจอะไรบางอย่าง ชักน่าสงสังแฮะ ยัยเด็กสองคนนี้ต้องมีอะไรปิดบังฉันแน่ๆ

                      “หลังจากเลิกค่ายนี้แล้วสองคนนั้นต้องคบกันแน่ๆ เลยค่ะพี่” ยัยดาวถ้ายังอยากมีฟันครบถ้วนอย่าพูดมาก ไม่งั้นฉันจะเลาะฟันแกมากองแน่

                      “เหรอจ๊ะ” ฉันฉีกยิ้มกว้างให้แบบไม่เป็นมิตรยัยเด็กดาวเลยรีบหันกลับไปตั้งใจฟังพระอาจารย์เทศนาต่อ

                      สมัยฉันเข้าค่ายแค่สองวันหนึ่งคืนก็ว่านานแล้วนะ รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ต้องเข้าสามวันสองคืนเพราะตรงกับวันมาฆบูชารู้กันว่าวันเพ็ญเดือนสาม คนไทยน้ำใจงามวันเพ็ญเดือนสามไปทำบุญกัน เช้านี้จึงมีกิจกรรมใส่บาตรพระร้อยใส่ข้าวสารอาหารแห้งและคืนนี้จะมีการเวียนเทียนด้วยหล่ะ

                      “พี่อะตอมคะ คืนนี้หนูขอเวียนเทียนคู่กับพี่นะคะ” ยัยเด็กแก่แดด ยัยมิ้น มันจะมากไปแล้วนะ

                      “ได้สิ” นายอะตอมก็ใจง่ายตอบตกลงเฉยเลย

                      “ไปด้วยกันมั้ยแฟนต้า” อะตอมหันมาชวนฉันเสียงเบาเหมือนเผลอ

                      “ไป” ฉันก็ตอบกลับไปแบบที่สองคนนั้นคาดไม่ถึงเหมือนกัน ดูสิว่ามีฉันอยู่ด้วยจะหวานแหววลั้นลาได้ซักขนาดไหน คอยดู แม่จะเล่นงานให้หากันไม่เจอกัน ชิ (นิสัยนางร้ายชัดๆ นางเอกฉ๊านน:เดซี่)

                     

                      วันงานเทศกาลผ่านมา อุ้ย ไม่ใช่ค่ะ ค่ำคืนแห่งการเวียนเทียนกำลังมาเยือนแล้ว อย่าหวังเลยจะได้เวียนเทียนอย่างมีความสุขกับยัยน้องมิ้น ฉันลากน้องดาวมาด้วย วัดอยู่ใกล้กับโรงเรียนพวกเราเลยเดินเท้ามาที่วัด

                      “เอาหล่ะเดียวเราจะเวียนรอบโบสถ์สามรอบนะ แล้วก็ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” พระอาจารย์กำลังบรรยายให้นักเรียนฟังและฉันที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์สงสัยไม่ได้บุญซะละมั้งงานนี้

                      “น้องมิ้นจ๊ะอาจารย์ประจำชั้นน้องเรียกอยู่ตรงนู้นน่ะจ๊ะ” นอกจากจะมีจิตใจไม่บริสุทธิ์แล้วยังโกหกระหว่างเวียนเทียนด้วย จะตกนรกมั้ยเรา

                      “อ่ะน้องดาวมาพอดีเลยพาน้องมิ้นไปหาอาจารย์ประจำชั้นหน่อยสิจ๊ะ ทางนู้นน่ะ” และฉันก็อาศัยช่วงชุลมุนนี้ดึงแขนอะตอมไปกับฝูงชนที่มาเวียนเทียน เราเดินไหลยังกับสงกรานต์พัทยาไปตามทางเดินรอบโบสถ์

                      “ไม่รอน้องมิ้นก่อนเหรอ”

                      “ทำไม อยากใกล้ชิดกันมากขนาดห่างกันไม่ได้เลยเหรอ”

                      “แล้วเธอล่ะ ไม่อยากให้ฉันอยู่ใกล้น้องมิ้นขนาดนั้นเลยเหรอ” อะตอมเลิกคิ้วหนาทำหน้าทะเล้นถามฉัน

                      “บ้า ใครคิดแบบนั้น ฉันก็แค่หมั่นไส้ที่เห็นนายรื่นเริงเกินเหตุย่ะ”

                      “เหรอ นึกว่าหึง” ทั้งที่ใจเต้นระทึกขนาดนี้นายยังจะมาแซวอะไรอีก

                      “ไปเลย” ฉันรวบดอกไม้ธูปเทียนไว้ที่มือข้างเดียวแล้วใช้มือที่ว่างผลักอีตาอะตอมจนเซไปชนกระถางปักธูป ดอกไม้ในมือเขาล่วงกระจัดกระจาย ดีนะที่เราเวียนกันรอบแรกยังไม่มีใครปักธูปไว้ไม่งั้นไม่อยากคิดเลยอ๊า

                      “ยัยเบอะเอ้ย ทำอะไรของเธอเนี่ย” อะตอมดึงมือฉันออกไปยืนข้างเขา สรุปเราไม่ต้องเวียนทงเวียนเทียนอะไรกันแล้วเพราะฉันกำลังโดนนายอะตอมลากย้อนศรออกไปนอกเส้นทางรอบโบสถ์

                      “อะไรของนายเนี่ย เรายังเวียนไม่ครบสามรอบเลยนะ”

                      “ก็แล้วไอ้ที่เธอทำมันน่ามีใจทำบุญป่ะล่ะ” พึ่งถูกนายอะตอมตะคอกครั้งแรก ตกใจเลย

                      “ฉันขอโทษ”

                      “คำพูดห้วนๆ แบบนี้มีใจขอโทษแน่เหรอ” อะตอมเปิดเสื้อให้ดูรอยแดงเถือกที่โดนผลักไปชนกระถางธูปเมื่อครู่

                      “ชนแรงขนาดนี้เลยเหรอ” แต่ไม่เห็นอะตอมร้องซักแอ๊ะเลยแฮะ อดทนมากเลยนะเนี่ย ฉันเผลอเอามือไปลูบที่รอยช้ำนั่นอย่างลืมตัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มือของอะตอมจับมือฉันไปกุมไว้

                      “เจ็บแค่นี้ไม่เท่ามันไม่เท่ากับแผลใจที่เธอฝากไว้ให้ฉันหรอกน่า” อะตอมบีบมือฉันแรงขึ้น

                      “อะไรกัน นายนั่นแหล่ะที่ทำร้ายจิตใจฉันน่ะ ทั้งที่รู้ว่าฉันชอบนายตอนม.3 นายยังปฏิเสธซะรุนแรงขนาดนั้น แถมยังพูดถึงแฟนนายให้ได้ยินตลอดมาน่ะ อยากให้ฉันเจ็บสินะ สะใจมากป่าวล่ะ” ฉันมองตาอะตอมไม่กระพริบ

                      “อย่างเธอมันจะไปรู้อะไร ตอนเรียนม.1 ที่ยังไม่ได้เลือกสายวิทย์สายศิลป์น่ะ ตอนอยู่ห้องรวมนั่นน่ะ นึกให้ออกสิ ไอ้แว่นเฉิ่มที่อยู่ห้องข้างๆ นั่นน่ะ มันชอบเธอมาหนึ่งปีเต็ม แต่เธอก็ปฏิเสธไปแบบไม่ใยดีเหมือนกันไม่ใช่รึไง ห๊ะ” ไม่จริงอ่ะ นายแว่นที่เคยตามตื้อฉันนั่นน่ะ อีตาเฉิ่มใส่แว่นที่แอบมองฉันตลอดจนต้องตะคอกด่าไปว่าฉันไม่ชอบผู้ชายเฉิ่มเบอะแบบนาย และยังบอกอีกว่าไว้หล่อกว่านี้ เรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง แล้วค่อยมาจีบฉันนะ อย่าบอกนะว่าอีตานั่นกับอะตอมคือคนเดียวกันน่ะ ทำไมแตกต่างกันขนาดนี้ล่ะ

                      “ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองแทบตายเธอก็ยังไม่สนใจ ฉันคิดว่าถ้ามีแฟนแล้วคงกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมแล้วเธอจะมองมาบ้าง แล้วไงล่ะ คิดว่าฉันคบกับน้องการ์ตูนเพราะใครเหรอ เพราะเธอนั่นแหล่ะ และที่พูดว่ารักน้องเค้าขนาดนั้นก็เพราะอยากให้เธอได้ยิน แต่เธอก็ไม่เห็นสนใจ สิ่งที่ทำประชดเธอเลยสูญเปล่าฉันเลยบอกเลิกการ์ตูนไป น้องเค้ากลัวเสียฟอร์มเลยบอกใครต่อใครว่าทิ้งฉัน” อะตอมดึงมือไปกุมไว้จนดอกไม้ธูปเทียนหล่นกระจาย

                      “นายทำเพื่อแก้แค้นฉันงั้นเหรอ” ก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่ลำคอ ความชื้นเอ่อขึ้นมาคลอหน่วยตา ปริ่มๆ จะไหลออกมา

                      “ใช่” นายทำได้แสบมาก แล้วมันก็ได้ผลจริงด้วย ฉันไร้แฟน แล้วฉันก็แอบรักคนที่ฉันเคยปฏิเสธแบบไม่ใยดี

                      “สะใจมั้ยล่ะ ได้ผลซะด้วยสิ ฉันเจ็บมากเลยหล่ะ” น้ำตาจ๋าอย่าพึ่งไหล ทำไมห้ามไม่ฟังเล่า โธ่เว้ย ไหลจนได้ยัยผู้หญิงอ่อนแอเอ้ย

                      “มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องร้องไห้ล่ะ ในเมื่อเธอไม่ได้ชอบฉันแล้วนี่”

                      “นายก็ไม่ได้ชอบฉันแล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

                      “ฉันถามเธอก่อนนะ”

                      “ต่างกันตรงไหนล่ะเราต่างก็เกลียดกันน่ะ” เรามองหน้ากันอึ้งๆ

                      “แล้วเธอจะร้องไห้ทำไม”

      “ก็เพราะนายไง” ฉันหันหน้าหนีเพราะไม่อยากให้อะตอมเห็นหยดน้ำตาที่ร่วงเผาะ

                      “ทำไมถึงต้องร้องเพราะฉันล่ะ ถ้าเธอไม่ได้ชอบฉัน ถ้าเราเกลียดกันเธอจะสนใจทำไมว่าสิ่งที่ฉันทำลงไปเพื่ออะไร” เจ็บดีจัง เป็นความรู้สึกจี๊ดที่เข้ามาทิ่มแทงใจ

                      “ใช่ฉันเกลียดนาย เกลียดมาก” ฉันยื้อมือออกจากการเกาะกุมแต่อะตอมกลับกระชากฉันเข้าไปกอด

                      “อย่าพูดว่าเกลียดฉันอีกเลย อย่ายัดเยียดความรู้สึกให้ฉันเกลียดเธอด้วย เพราะตั้งแต่ม.1 จนถึงตอนนี้ความรู้สึกชอบเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”

                      “ไม่ ฉันจะพูด ฉันเกลียดนาย และฉันก็เกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองด้วยที่นายทำกับฉันขนาดนี้ก็ยังรักนาย ฮือๆ” ฉันกอดตอบนายอะตอมไป

                      “แฟนต้า ฉันขอโทษที่ทำทุกอย่างให้มันเลวร้ายไปกันใหญ่ ถ้าฉันไม่ถือทิฐิเราคงลงเอยกันนานแล้ว” อะตอมลูบหัวฉันไปมาเหมือนฉันเป็นเด็ก

                      “มันผ่านไปแล้วให้มันผ่านไปเหอะ ฉันไม่อยากคิดแล้ว” ลืมเรื่องราวแย่ๆ ไปให้หมดนั่นแหล่ะดีที่สุด ไม่อยากทะเลาะกับคนที่ฉันชอบมากขนาดนี้ด้วย

                      “พี่คะ อาจารย์บอกว่าไม่ได้เรียกหนูนะคะ” ยัยเด็กมิ้น ยัยตัวมาร ทำให้ฉันกับอะตอมต้องผละออกจากกัน

                      “พี่สองคนกอดกันทำไมอ่ะคะ” ยัยดาวมฤตยูถามขึ้นอีกคน เธอเป็นแฝดกันรึเปล่ายะ ติดกับเป็นป๋าท่องโก๋ ลูกคู่กันดียิ่งกว่าวงดนตรีดังอีกนะเนี่ย

                      “คือความจริงพี่สองคนพึ่งตกลงคบกันน่ะ” อะตอมตอบอายๆ

                      “บ้า ถามฉันรึยังเนี่ย” ฉันตีแขนอะตอมหนึ่งทีแก้เขิน

                      “รึเธอจะปฏิเสธล่ะ” ฉันรีบส่ายหัวดิก น้องสองคนก็หัวเราะร่า

                      “พวกพี่นี่ตลกชะมัดเลยนะ ไปกันเหอะดาว” ยัยน้องมิ้นจูงมือเพื่อนเดินกลับเข้าไปที่โบสถ์ สรุปคือฉันกับอะตอมเก็บดอกไม้ธูปเทียนแล้วเดินเวียนกันเองสองคนให้ครบสามรอบแล้วเข้าไปฟังเทศน์ในตัวโบสถ์

                      “นึกว่าการทำบุญวันนี้จะล่มซะแระ” อะตอมแซวฉันที่เอาแต่หน้าแดง

                      “เพราะใครกันล่ะ” “อย่ามัวแต่โทษว่าใครผิดเลย ความรักไม่มีความผิดนะ” อะไรเนี่ย หวานเกิ๊น

       

                      เสร็จกิจกรรมเราก็แยกย้ายกันเข้านอน คืนนี้ฝันถึงอะตอมด้วยหล่ะ ที่ฉันปฏิเสธอะตอมเมื่อตอนม.1 ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะฉันได้คนที่ชอบฉันจริงจังจนยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อฉันขนาดนี้ อร๊ายยย เขินมากมาย

                      เช้าวันใหม่น้องๆ ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตีหน้าทำธุระส่วนตัเสร็จก็ออกไปเดินจงกลมกัน ยุบหนอ พองหนอ หัวใจอันพองโตหนอ รู้สึกดีหนอ เพราะฉันเดินอยู่ข้างคนที่ฉันรักหนอ รู้สึกดีเป็นบ้าเลย บางทีฉันก็แอบลืมตามองหน้าอะตอม น่ารักอ่ะ แฟนใครไม่รู้ ยิ่งดูยิ่งน่ารัก ขอมองเธอสักพัก จะเป็นไรไหม

                      “รัศมี ถ้าไม่ตั้งใจเดินก็ออกมาเลย” อาจารย์วาสนาดุฉันอีกแระ เรื่องอะไรจะไม่เดิน กิจกรรมที่ทำร่วมกับอะตอมเป็นความทรงจำอันแสนพิเศษทั้งนั้นนะ

                      เดินจงกลมเสร็จอาจารย์ก็ปล่อยทุกคนไปอาบน้ำเก็บเสื้อผ้าและนำลงมาจากอาคาร เตรียมรับประทานอาหาร ก่อนจะสรุปผลกิจกรรมที่ทำไปทั้งหมดและปล่อยให้น้องนักเรียนใหม่กลับบ้าน พี่เลี้ยงก็รวมตัวกันฟังอาจารย์กล่าวขอบคุณพร้อมกับคำชมที่ช่วยดูแลน้องๆ ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยดี

                      “ถ้าไม่รวมเหตุการณ์ของเธอสองคน ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี ขอบใจมาก” อาจารย์พิเชษฐ์หันมาพูดรอดไรฟันให้ได้ยินกันสามคน

                      “ค่ะ/ครับ” ฉันกับอะตอมตอบแล้วก็ก้มหัวให้อาจารย์ ทำให้อาจารย์พิเชษฐ์หลุดหัวเราะออกมา

                      งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราแล้วทีมงานก็แยกย้ายกันกลับบ้าน อะตอมขับมอเตอร์ไซด์มาส่งฉันที่บ้าน พรุ่งนี้เราจะไปโรงเรียนพร้อมกัน เจ้าสกู๊ตเตอร์น้อยได้พักซักทีนะ มีคนมารับพี่สาวคนนี้ไปโรงเรียนแระ

       

                      “ไม่ทะเลาะกันเหรอวันนี้” ลูกหมีแซว

                      “เงียบหูเนอะ นั่งทำตาซึ้งใส่กันอยู่ได้น่ารำคาญอ่ะ” ซูชิ

                      “อะไรอ่ะพวกแกน่ะ” ฉันตีแขนลูกหมีแล้วหันไปมองซูชิตาขวาง

                      “โอ้ย ใครเค้าก็ดูออกว่าพวกแกสองคนชอบกันมาตั้งนานแระ อะตอม” ลูกหมีชี้หน้าอะตอม

                      “เวลาพูดถึงน้องการ์ตูนตาก็มองแต่ยัยแฟนต้า ส่วนแก” ลูกหมีชี้หน้าฉัน

                      “เวลาอะตอมยังไม่เข้าห้องเรียนก็จะมองหา เวลาเค้าพูดถึงแฟนก็ทำหน้าตาโกรธหึงซะขนาดนั้น พวกฉันก็เฝ้ารอดูอ่ะนะว่าเมื่อไหร่ที่พวกแกจะเลิกโกหกความรู้สึกตัวเองกันซะที แหม ถ้าพวกฉันไม่ออกโรงเห็นทีจะไม่ลงเอยกันนะเนี่ย”

                      “ใช่ ต้องขอบคุณน้องสาวของเราทั้งสองคนด้วย ป่ะ เดี๋ยวเที่ยงนี้ต้องไปเลี้ยงข้าวขอบคุณพวกมันหน่อย” น้องสาวอะไรของพวกมันฟะ อย่าบอกนะว่าเด็กม.1 จอมป่วนสองคนนั่น

                      “สวัสดีค่ะพี่อะตอม สวัสดีค่ะพี่แฟนต้า” ยัยน้องมิ้นและยัยน้องดาวนั่นเอง เดินเข้ามาห้องเรียนฉันได้ไงเนี่ย

                      “นี่น้องมิ้น นิ้งสาวฉันเอง” ลูกหมีแนะนำ

                      “แล้วนี่ก็ดาว น้องสาวของคนสวยอย่างฉัน” ซูชิก็แนะนำน้องตัวเอง

                      “อะไรกันเนี่ย แผนของพวกแกสองคนเองเหรอ” ฉันนิ่วหน้ากอดอกงอนค่ะงอนเพื่อนสนิททั้งสอง

                      “พี่ลูกหมี หนูมีอะไรจะฟ้องด้วยแหล่ะ” ยัยมิ้นพูดขึ้น

                      “มีไรน้องพี่” ลูกหมีกอดคอน้องสาว “ก็วันเข้าค่ายวันแรกอ่ะ พี่แฟนต้าเค้าขังหนูไว้ในห้องน้ำแหล่ะ” ห๊ะ ยัยเด็กบ้านี่รู้ได้ไงนะ

                      “แต่ไม่ต้องห่วงนะพี่ หนูแก้เผ็ดด้วยการขังพี่แฟนต้าไว้ในห้องน้ำด้วยเหมือนกัน” น้องดาวเสริม

                      “พวกเธอนี่เองเหรอขังฉันน่ะ เหอะ แล้วรู้ได้ไงว่าฉันขังพวกเธอ” ฉันมองหน้ายัยเด็กแสบสองคนนั่น

                      “ตอนแรกหนูก็ไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่พอเห็นกระดาษทิชชู่ยับๆ น่าจะผ่านการยัดหน้าอกใครบางคนหล่นอยู่หน้าห้องน้ำ แล้วก็พอเล่นเกมต่อให้ยาวกันถึงได้มั่นใจว่าพี่แน่ๆ ที่ขังหนูไว้”

                      “แกรังแกน้องสาวฉันเหรอ อุตส่าห์ให้ไปช่วยสานสายสัมพันธ์ให้นะยะ” ลูกหมีแหวใส่ฉัน

                      “ช่วยบ้าอะไร เห็นแต่นัวเนียกับอะตอมตลอดอ่ะ” ฉันโพล่งออกมาบ้าง

                      “นั่นเพราะทำให้พี่หึงจะได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อกันต่างหากล่ะคะ” ยัยเด็กแสบเอ้ยทำเอาฉันอึ้งเลย

                      “เอาน่าแฟนต้า แต่น้องเค้าก็ช่วยเราได้จริงๆ นั่นแหล่ะ ใช่ป่ะ” อะตอมดึงฉันเข้าไปใกล้แล้วกอดโชว์เพื่อนๆ

                      “ปล่อยนะ อายเค้า” ฉันแกะมืออะตอมออก

                      “นับจากวันนี้ไปเธอจะมีเรื่องให้อายกว่านี้อีก เตรียมใจไว้ได้เลย” อะตอมทิ้งท้ายไว้เท่านั้นหัวใจฉันก็สั่นไหวไปหมด นี่สินะความรัก ไม่เกี่ยวหรอกว่าใครจะรักใครก่อน สำคัญที่สุดก็ตอนที่ใจสองดวงต่างก็มีความรักให้กันยังไงล่ะ

                     

                      “พวกแกนี่มีอะไรเหมือนกันหมดเลยนะ เป็นกะเทยเหมือนกัน มีน้องสาวเหมือนกันแถมอายุเท่ากัน ยังมีอะไรที่ไม่เหมือนกันอีกมั้ยพวกยัยกะเทยแฝด” ฉันว่ากระทบเพื่อนแบบลอยๆ ไปไม่ได้เจาะจงแต่เหมือนสองเพื่อนจะรู้ตัวรีบหันมาตอบประสานเสียงกัน

                      “มี” และเป็นลูกหมีที่แย่งพูดก่อน “แฟนฉันเป็นนักมวยส่วนแฟนยัยซูชิเป็นนักบาส”

                      “ก็เป็นนักกีฬาเหมือนกันนั่นหล่ะ” ฉันเถียง

                      “ไม่เหมือนย่ะ แฟนฉันหล่อกว่า” ซูชิเถียง ซึ่งข้อถกเถียงนี้กลายเป็นบทสนทนาของยัยลูกหมีและยัยซูชิสองคนเพราะมันต่างก็เถียงกันว่าแฟนตัวเองหล่อกว่า ดีกว่า และมีอะไรดีกว่าจนถึงขั้นลีลาดีกว่า เอากะเค้าสิ

                      “อะตอมหล่อกว่า” ฉันสรุปแล้วหันไปยิ้มหวานให้กับอะตอม ซึ่งนายนั่นก็ยิ้มหวานบาดใจตอบมา อ๊ายยย ใจละลายเลยอ่ะ ตกหลุมรักนายอีกรอบจะเป็นไรมั้ยน๊า

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×